ตอบคำถามท้ายบทที่ 3
บทที่ 3 การจัดการข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
1. ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเลคทรอนิคส์แบ่งได้กี่วิธี
อะไรบ้าง
ตอบ การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
สามารถแบ่งออกเป็น 3
ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียมข้อมูล (Input) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการประมวลผล
แบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1.1 การลงรหัส (Coding) คือ การใช้รหัสแทนข้อมูลจริง
ทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่สะดวกแก่การประมวลผล ทำให้ประหยัดเวลาและเนื้อที่
รหัสอาจเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเพศ ให้รหัส 1 แทนเพศชาย รหัส 2 แทนเพศหญิง
เป็นต้น
1.2 การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล (Editing)
เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้ของข้อมูล
และปรับปรุงแก้ไขเท่าที่จะทำได้หรือคัดข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป เช่น
คำตอบบางคำตอบขัดแย้งกันก็อาจดูคำตอบจากคำถามข้ออื่น ๆ ประกอบ
แล้วแก้ไขตามความเหมาะสม
1.3 การแยกประเภทข้อมูล (Classifying)
คือ การแยกประเภทข้อมูลออกตามลักษณะงานเพื่อสะดวกในการประมวลผลต่อไป
เช่น แยกตามคณะวิชา แยกตามเพศ แยกตามอายุ เป็นต้น
1.4 การบันทึกข้อมูลลงสื่อ (Media) ที่เหมาะสม หมายถึง การจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในสื่อ
หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในรูปที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ และนำไปประมวลได้ เช่น
บันทึกข้อมูลลงในจานแม่เหล็ก หรือเทปแม่เหล็ก
เพื่อนำไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไป
2. ขั้นตอนการประมวลผล (Processing)
เป็นวิธีการจัดการกับข้อมูล
โดยนำข้อมูลที่เตรียมไว้แล้วเข้าเครื่อง แต่ก่อนที่เครื่องจะทำงานต้องมีโปรแกรมสั่งงาน
ซึ่งโปรแกรมเมอร์ (Processing) เป็นผู้เขียน
เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาและยังคงเก็บไว้ในเครื่องขั้นตอนต่าง
ๆ อาจเป็นดังนี้
2.1 การคำนวณ (Calculation) ได้แก่ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ
คูณ หาร และทางตรรกศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ
2.2 การเรียงลำดับข้อมูล (Sorting) เช่น เรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก
หรือมากไปน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร A
ถึง Z เป็นต้น
2.3 การดึงข้อมูลมาใช้ (Retrieving) เป็นการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเพื่อนำมาใช้งาน
เช่น ต้องการทราบยอดหนี้ของลูกค้าคนหนึ่ง หรือต้องการทราบยอดขายของพนักงานคนหนึ่ง
เป็นต้น
2.4 การรวมข้อมูล (Merging)
เป็นการนำข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุด ขึ้นไปมารวมเป็นชุดเดียวกัน เช่น
การนำเอาเงินเดือนพนักงาน รวมกับเงินค่าล่วงเวลา
จะได้เป็นเงินที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงาน
2.5 การสรุป (Summarizing)
เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบสั้น
ๆ กะทัดรัดตามต้องการ เช่น การสรุปรายรับรายจ่าย หรือ กำไรขาดทุน
2.6 การสร้างข้อมูลชุดใหม่ (Reproducing)
เป็นการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลเดิม
2.7 การปรับปรุงข้อมูล (Updating)
คือ การเพิ่มข้อมูล (Add) การลบข้อมูล (Delete) และการเปลี่ยนค่า (change) ข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
3. ขั้นตอนการแสดงผลลัพธ์ (Output)
เป็นงานที่ได้หลังจากผ่านการประมวลผลแล้วเป็นขั้นตอนในการแปลผลลัพธ์ที่เก็บอยู่ในเครื่อง
ให้ออกมาอยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจง่ายได้แก่ การนำเสนอในรูปแบบรายงาน เช่น
แสดงผลสรุปตารางรายงานการบัญชี รายงานทางสถิติ รายงานการวิเคราะห์ต่าง ๆ
หรืออาจแสดงด้วยกราฟ เช่น แผนภูมิ
หรือรูปภาพสรุปขั้นตอนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
2. จงเรียงลำดับโครงสร้างข้อมูลจากขนาดเล็กไปใหญ่พร้อมทั้งอธิบายความหมายของโครงสร้างข้อมูลแต่ละแบบ
ตอบ โครงสร้างข้อมูล
(Data Structure)
บิต (Bit) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด
เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจ และใช้งานได้ ได้แก่ 0 หรือ 1
ไบท์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) คือ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ จำนวน 1 ตัว
ฟิลด์ (Field) หรือ เขตข้อมูล คือ ไบท์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว หรือ ชื่อพนักงาน
เรคคอร์ด (Record) หรือระเบียน คือ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมารวมกัน
ไบท์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) คือ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ จำนวน 1 ตัว
ฟิลด์ (Field) หรือ เขตข้อมูล คือ ไบท์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว หรือ ชื่อพนักงาน
เรคคอร์ด (Record) หรือระเบียน คือ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมารวมกัน
ไฟล์ (File) หรือ แฟ้มข้อมูล คือ หลายเรคคอร์ดมารวมกัน เช่น ข้อมูลที่อยู่นักเรียนมารวมกัน
ฐานข้อมูล (Database) คือ หลายไฟล์ข้อมูลมารวมกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลนักเรียนมารวมกันในงานทะเบียน แล้วรวมกับไฟล์การเงิน
3. หากนาเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในหน่วยงานที่นักศึกษาทางานอยู่
สามารถมีระบบใดบ้าง และระบบฐานข้อมูลนั้นมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร
ตอบ
อินทราเน็ต (intranet) คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบภายในองค์กร ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ในการใช้งานอินทราเน็ตจะต้องใช้โพรโทคอล IP เหมือนกับอินเทอร์เน็ต
สามารถมีเว็บไซต์และใช้เว็บเบราว์เซอร์ได้เช่นกัน รวมถึงอีเมลล์ ถ้าเราเชื่อมต่ออินทราเน็ตของเรากับอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ได้ทั้ง
อินเทอร์เน็ต และ อินทราเน็ต ไปพร้อม ๆ กัน
แต่ในการใช้งานนั้นจะแตกต่างกันด้านความเร็ว ในการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ
จากเว็บไซต์ในอินทราเน็ต จะรวดเร็วกว่าการโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาก
ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากอินทราเน็ต สำหรับองค์กรหนึ่ง คือ
สามารถใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เวลาที่มีการเชื่อมต่ออินทราเน็ตเข้ากับอินเทอร์เน็ต
มักมีการติดตั้งไฟร์วอลล์สำหรับควบคุมการผ่านเข้าออกของข้อมูล
ผู้ดูแลด้านความปลอดภัยในองค์กร
สามารถควบคุมและจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตบางประเภท เช่น ไม่ให้เข้าไปยังเว็บไซต์ลามก หรือตรวจสอบว่าผู้ใช้รายไหนพยายามเข้าไปเว็บดังกล่าว
เป็นต้น นอกเหนือจากนี้
ไฟล์วอลยังป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกจากอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร
นอกเหนือไปจากเซิร์ฟเวอร์สำหรับให้บริการซึ่งผู้บริหารเครือข่ายได้กำหนดไว้
ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์ต่อองค์กรดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้
ตัวอย่างเช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน สามารถเรียกใช้ข้อมูลรหัสพนักงานจากฐานข้อมูลเดียวกับโปรแกรมระบบการขาย
เป็นต้น
2.
ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยให้มีความซ้ำซ้อนน้อยลงที่ลดความซ้ำซ้อนได้
เพราะเก็บแบบรวม
3.
ระบบฐานข้อมูลช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่ของ
4. ระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการทำธุรกรรม
ธุรกรรม คือ ขั้นตอนการทำงานหลายกิจกรรมย่อยมารวมกัน
5.
ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยรักษาความคงสภาพหรือความถูกต้องของข้อมูลโดยผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นผู้กำหนดข้อบังคับความคง
ตามที่ผู้บริหาร มอบหมาย
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลทีโดยไม่ถูกต้อง
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
6.
สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความ กล่าวคือ ผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถ
กำหนดข้อบังคับ เรื่องปลอดภัย
7.
ความต้องการที่เกิดข้อโต้แย้งระหว่างฝ่าย สามารถประนีประนอม
8. สามารถบังคับให้เกิดมาตรฐาน
9. ระบบฐานข้อมูลให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูลเป็นประโยชน์ข้อสำคัญที่สุดเพราะทำให้ข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับการแทนค่าข้อมูลเชิงกายภาพ
4. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการประมวลผลข้อมูลแบบแบชและแบบเรียลไทม์
ตอบ 1.
วิธีการประมวลแบบแบซ (Batch Processing)
เป็นการประมวลผลโดยเก็บรวบรวมข้อมูลหรือคำสั่งไว้ปริมาณ
หนึ่งแล้วจึงนำงานชุดหรือแบซ นั้นส่งเข้าประมวลผลต่อไป
วิธีการประมวลผลแบบนี้มีใช้มาตั้งแต่คอมพิวเตอร์ยุคแรก การประมวลผลแบบแบซพิจารณาได้
2 ด้าน คือ
ในด้านของผู้ใช้เครื่องและในด้านของผู้มีหน้าที่ควบคุมเครื่อง
2. ระบบเรียลไทม์ (Real-time) เป็นระบบออนไลน์ ที่มีลักษณะคล้ายกับไทม์แชริง
แต่แตกต่างกันที่งานที่ประมวลผล เป็นงานเดียวมีผู้ร่วมใช้หลายคน
เทอร์มินัลทุกจุดถูกควบคุมด้วยโปรแกรมเดียวกันเพื่อให้เครื่องสามารถติดต่อกับผู้ใช้ทุก
คน จึงมีการแบ่งโปรแกรมเป็นชุดย่อย ๆ ในโปรแกรมชุดย่อยเหล่านี้ทำงานไปพ้อม ๆ
กันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น